Michelin โดนตัดสินชดใช้ 6.8 พันล้านบาท คดียางระเบิดคร่าชีวิตครอบครัวในสหรัฐฯ
คดี Michelin โดนตัดสินชดใช้ 220 ล้านดอลลาร์ สรุปประเด็น “ยางเสื่อมอายุ-โครงสร้างยาง”
ไฮไลต์: คณะลูกขุนมีคำตัดสินให้ Michelin ชดใช้ค่าเสียหายรวม 220 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 6.8 พันล้านบาท จากคดีอุบัติเหตุปี 2021 โดยฝ่ายโจทก์ยืนยันประเด็น “ข้อบกพร่องด้านโครงสร้างยาง” และ “การเตือนเรื่องอายุยางไม่เพียงพอ” ขณะที่ Michelin ระบุไม่เห็นด้วยและยังมีช่องทางทางกฎหมายต่อไป
ภาพรวมคดี: เกิดอะไรขึ้น และศาลตัดสินอย่างไร
คดีนี้เกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในปี 2021 โดยโจทก์ยื่นฟ้องผู้ผลิตยาง Michelin กล่าวอ้างว่ายางที่ติดตั้งบนรถมีข้อบกพร่องและนำไปสู่การสูญเสียร้ายแรง ภายหลังคณะลูกขุนมีคำตัดสินให้ Michelin รับผิดชอบ 100% พร้อมกำหนดค่าเสียหายรวม 220 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ประเด็นสำคัญของคดีไม่ได้อยู่ที่ “การใช้งานยางเก่าอย่างเดียว” แต่เป็นการถกเถียงว่า ยางมีความบกพร่องตั้งแต่ต้นทาง (defect at sale) หรือไม่ และผู้เกี่ยวข้องได้ เตือนความเสี่ยงของอายุยางและการเสื่อมสภาพตามเวลา เพียงพอหรือไม่
ประเด็นทางเทคนิคที่ถูกหยิบขึ้นมา “ชั้นยางยึดเหล็ก” และ “การแยกชั้นดอกยาง”
ข้อกล่าวหาเชิงเทคนิคในคดีนี้โฟกัสไปที่โครงสร้างภายในของยาง โดยโจทก์อ้างถึงชั้นยางประเภท skim stock (ชั้นยางที่ทำหน้าที่ยึดประสานแถบเหล็กภายในยาง) ว่าอาจถูกใช้/กระบวนการผลิตไม่เหมาะสม จนเพิ่มความเสี่ยงของการเกิด tread separation (การแยกชั้นดอกยาง) และนำไปสู่ความเสียหายของยาง
นอกจากนี้ยังมีข้อกล่าวหาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ระบบเข็มขัดเหล็ก (belt system) และการผลิต/การอบยาง (cure) ว่าอาจไม่เป็นไปตามสเปกที่ควรเป็นตามมาตรฐานการผลิต
อีกประเด็นที่ “คนใช้รถ” ควรจับตา การเตือนเรื่องอายุยางและการเสื่อมสภาพ
นอกจากข้อกล่าวหาเรื่องโครงสร้างยางแล้ว โจทก์ยังระบุว่า Michelin และผู้จำหน่าย/ผู้ติดตั้ง (ในข่าวกล่าวถึง Discount Tire) ให้คำเตือนเรื่องความเสี่ยงของอายุยางไม่เพียงพอ ซึ่งประเด็นนี้สำคัญมาก เพราะสะท้อน “เส้นแบ่ง” ระหว่าง
- ความบกพร่องของสินค้า (สินค้าควรปลอดภัยตามการใช้งานปกติ)
- หน้าที่ในการสื่อสารความเสี่ยง (ผู้ผลิต/ผู้จำหน่ายควรเตือนผู้ใช้เมื่อมีความเสี่ยงจากอายุหรือสภาพการใช้งาน)
ในมุมผู้บริโภค ประเด็น “อายุยาง” มักถูกเข้าใจว่าเป็นเรื่องการดูแลรักษาและการใช้งาน แต่ในทางคดีความ การเตือนที่ชัดเจน/เพียงพออาจถูกพิจารณาเป็นองค์ประกอบหนึ่งของความรับผิดได้
Michelin ตอบโต้: ไม่เห็นด้วยกับผลคำตัดสิน และชี้ประเด็น “อายุยาง-ระยะใช้งาน”
Michelin ระบุว่า ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง กับผลการพิจารณาคดี โดยยืนยันว่าหลักฐานในศาลชี้ว่ายางมีอายุประมาณ 7 ปี มีลักษณะ ถูกใช้งานมาแล้วราว 70,000 ไมล์ หรือ 112,653 กม. และมีความเสียหายในบางส่วน พร้อมระบุว่าจะใช้ช่องทางทางกฎหมายที่มีเพื่อขอให้มีการกลับคำตัดสิน
สรุปแกนโต้แย้งของ Michelin: ยางถูกใช้งานมานานและผ่านระยะทางสูง จึงไม่ใช่กรณีที่ควรสรุปว่าเป็น “ความบกพร่องตั้งแต่ต้นทาง”
แปลงตัวเลขเป็นเงินบาทไทย 220 ล้านดอลลาร์ = กี่บาท (1 USD = 31.07 บาท)
เพื่อให้เห็น “ขนาดของเงินชดเชย” แบบจับต้องได้ นี่คือการแปลงค่าเสียหายตามอัตราแลกเปลี่ยนที่คุณกำหนด: 1 ดอลลาร์สหรัฐ = 31.07 บาท
| รายการ | จำนวนเงิน (USD) | คิดเป็นเงินไทย (THB) |
|---|---|---|
| ค่าเสียหายรวมทั้งคดี | 220,000,000 | 6,835,400,000 บาท |
| ต่อ 1 ล้านดอลลาร์ (อ้างอิงเพื่อเทียบสเกล) | 1,000,000 | 31,070,000 บาท |
หมายเหตุ: ตัวเลขข้างต้นเป็นการคำนวณเชิงอ้างอิงตามอัตราแลกเปลี่ยนที่ระบุไว้เท่านั้น (ยังไม่รวมภาษี ค่าธรรมเนียมศาล ดอกเบี้ย หรือรายละเอียดเชิงคำพิพากษาที่อาจส่งผลต่อยอดเงินจริง)
กรณีนี้สะท้อนอะไรกับอุตสาหกรรมยางและผู้ใช้รถ
1) “อายุยาง” ไม่ใช่เรื่องเล็กในเชิงความรับผิด
คดีนี้ทำให้ประเด็นเรื่องอายุยางกลับมาอยู่ในสปอตไลต์อีกครั้ง โดยเฉพาะในมิติของ “การสื่อสารความเสี่ยง” ว่าควรชัดเจนแค่ไหน และใครต้องรับผิดชอบเมื่อเกิดเหตุ
2) คุณภาพการผลิตและการควบคุมกระบวนการยังเป็นหัวใจ
เมื่อคดีพุ่งไปที่โครงสร้างภายใน เช่น ชั้นยางยึดเหล็กและระบบเข็มขัด นั่นหมายถึงการตรวจสอบย้อนกลับ (traceability) และเอกสารการผลิตมีความสำคัญสูงมากในชั้นศาล
3) ผู้บริโภคควรมี “วินัยการตรวจเช็กยาง” แบบเป็นระบบ
- ตรวจสภาพยางสม่ำเสมอ: รอยบวม รอยแตก การสึกผิดปกติ
- เช็กแรงดันลมยางตามสเปกและลักษณะการใช้งาน
- ติดตามอายุยางและประวัติการใช้งาน โดยเฉพาะยางที่ใช้งานมาหลายปี
บทสรุป “คดี 220 ล้านดอลลาร์” ยังไม่จบง่าย และตลาดต้องจับตา
แม้จะมีคำตัดสินค่าเสียหายระดับ 220 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 6,835.4 ล้านบาท) แต่ Michelin ยังมีช่องทางดำเนินการทางกฎหมายต่อไป ขณะที่แกนประเด็นของคดีนี้—ทั้งเรื่อง ข้อบกพร่องเชิงโครงสร้าง และ การเตือนความเสี่ยงของอายุยาง—มีแนวโน้มกลายเป็น “กรณีศึกษา” ที่วงการยางและผู้ใช้รถจะต้องหยิบมาพูดถึงอีกระยะ
