Mitsubishi เทสต์ BYD Shark จนระบบตัด! เผยกำลังพัฒนา TRITON ไฮบริด 4WD ใหม่ ลุยได้มากกว่า




Mitsubishi เผยเบื้องหลังการพัฒนา Triton Hybrid
ที่งาน Tokyo Motor Show 2025 หนึ่งในไฮไลต์ที่น่าสนใจไม่ได้อยู่แค่การเปิดตัวรถใหม่ แต่คือคำพูดของ Kaoru Sawase (คาโอรุ ซาวาเสะ) วิศวกรระดับหัวหน้า หรือ “Engineering Fellow” ของ Mitsubishi Motors ผู้ได้รับฉายา “Godfather of Super All-Wheel Control (S-AWC)” บุคคลเบื้องหลังระบบขับเคลื่อนสี่ล้อชื่อดังที่สร้างชื่อให้แบรนด์สามเพชรมาอย่างยาวนาน
- S-AWC ย่อมาจาก Super All Wheel Control เป็นเทคโนโลยีระบบควบคุมการขับเคลื่อนสี่ล้อ (4WD) ขั้นสูงของ Mitsubishi Motors ที่พัฒนาต่อยอดจากระบบ AWC – All Wheel Control เดิม เพื่อให้รถสามารถ “เกาะถนนดีขึ้น เข้าโค้งมั่นคง และขับได้ปลอดภัยทุกสภาพพื้นผิว”
และในปีนี้ Sawase-san ได้เปิดเผยเรื่องที่หลายคนไม่คาดคิด เขาและทีมงานได้นำ BYD Shark 6 PHEV กระบะปลั๊กอินไฮบริดจากจีน ไปทดสอบออฟโรดถึงสนามทดสอบของ Mitsubishi ที่จังหวัดโทชิงิ (Tochigi) ประเทศญี่ปุ่น เพื่อศึกษาพฤติกรรมและสมรรถนะของระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าในสภาพใช้งานสุดโหด
“BYD ไต่เขาได้… แต่ไม่นานระบบก็หยุดเอง”
Sawase-san เผยผลการทดสอบอย่างตรงไปตรงมา: “ตอนนี้สมรรถนะออฟโรดของ BYD ยังไม่สูงนักครับ พวกเขาสามารถไต่ขึ้นทางชันได้ช่วงหนึ่ง แต่ไม่นานระบบจะตัดเอง ระบบป้องกัน (Protection System) ทำงานเพื่อป้องกันความร้อนเกิน ซึ่งเป็นข้อจำกัดสำคัญของระบบไฟฟ้าในงานออฟโรดหนักๆ”
เขากล่าวต่อว่า การพัฒนารถออฟโรดที่ใช้พลังงานไฟฟ้าหรือระบบไฮบริดนั้น “เป็นความท้าทายครั้งใหญ่” เพราะต้องรับมือกับอุณหภูมิ ความร้อนสะสม และการส่งกำลังต่อเนื่องที่ระบบไฟฟ้าอาจยังไม่พร้อมสำหรับสถานการณ์สุดขั้วอย่างการลุยทางชันหรือโคลนลึกเป็นเวลานาน
Mitsubishi ยืนยัน “Triton Hybrid” จะยังคงใช้ระบบ 4WD แบบกลไกจริง
ผลจากการทดสอบ BYD Shark 6 ทำให้ Mitsubishi ได้ข้อสรุปสำคัญในการออกแบบระบบขับเคลื่อนสำหรับ Triton รุ่น Hybrid ที่จะเปิดตัวในอนาคต แม้จะมีเทคโนโลยีไฮบริดของตัวเองจาก Outlander PHEV ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก แต่ Mitsubishi ยืนยันว่าจะ ไม่ใช้ระบบเดียวกันกับ Outlander เพราะไม่เหมาะกับงานออฟโรด
“สำหรับรถกระบะ เราจะใช้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบกลไก (Mechanical 4WD) เพื่อให้รับมือกับการลุยได้จริง เหมือนกับระบบ S-AWC ที่เราพัฒนาในรถรุ่นอื่น ๆ ของ Mitsubishi”
ต่างจาก BYD Shark 6 ที่ใช้ระบบ ขับเคลื่อนสี่ล้อแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic 4×4) หรือระบบขับเคลื่อนสี่ล้อไฟฟ้า (Electric AWD) ซึ่งแม้จะให้การตอบสนองฉับไว แต่ยังมีข้อจำกัดด้านการระบายความร้อนและความทนทานในการลุยระยะยาว
พัฒนาไปพร้อม Pajero รุ่นใหม่ และ Navara รุ่นพี่น้อง
Mitsubishi เคยยืนยันแล้วตั้งแต่ปี 2023 ว่ากำลังพัฒนา ทั้งระบบ Hybrid ธรรมดา และ Plug-in Hybrid (PHEV) สำหรับ Triton รุ่นใหม่ โดยใช้แพลตฟอร์มเฟรมแชสซี (Ladder Frame) ที่ทนทาน และจะถูกใช้ร่วมกับ Nissan Navara รุ่นปี 2026 ภายใต้ความร่วมมือในกลุ่ม Nissan–Mitsubishi–Renault Alliance
นอกจากนี้ เทคโนโลยีไฮบริดดังกล่าวอาจขยายไปสู่ SUV ออฟโรดรุ่นใหม่ที่มาแทน Pajero Sport โดยอาจเป็นโอกาสให้ชื่อ “Pajero” กลับมาอีกครั้ง หลัง Mitsubishi โชว์รถต้นแบบแนวออฟโรดในงานโตเกียวปีนี้
“เรายังต้องเรียนรู้จากจีน”
แม้ Sawase-san จะชี้ข้อจำกัดของ BYD Shark 6 อย่างตรงไปตรงมา แต่เขาก็ยอมรับอย่างเปิดใจว่า จีนก้าวหน้าอย่างมากในด้านเทคโนโลยีควบคุมพลังงานไฟฟ้าในรถยนต์
“เรามีสิ่งที่ต้องเรียนรู้จากพวกเขาอีกมากครับ ก่อนที่ระบบป้องกันจะเริ่มทำงาน สมรรถนะของระบบไฟฟ้าใน BYD ดีมาก — ทั้งการควบคุมแรงขับและการยึดเกาะของล้อ ถือว่าน่าประทับใจทีเดียว”
คำพูดนี้สะท้อนถึงแนวคิดของ Mitsubishi ที่ยังคงให้ความสำคัญกับ “ความทนทานและความมั่นใจในสภาพออฟโรดจริง” ขณะเดียวกันก็ยอมรับศักยภาพของคู่แข่งจากจีนที่กำลังรุกตลาดอย่างรวดเร็ว
Triton Hybrid จะไม่ใช่แค่ประหยัด แต่ต้อง “ลุยได้จริง”
จากการเปิดเผยของ Sawase-san ชัดเจนว่า Mitsubishi กำลังวางตำแหน่งของ Triton Hybrid ให้แตกต่างจากรถกระบะ PHEV อย่าง BYD Shark 6 มันจะไม่ใช่เพียง “รถประหยัดน้ำมัน” แต่เป็น รถไฮบริดที่พร้อมลุยทุกสภาพถนนเหมือน Triton ตัวจริง
ในยุคที่ผู้ผลิตหลายรายหันไปพัฒนา EV และ PHEV ที่เน้นเมือง Mitsubishi กลับเลือกเส้นทางที่ต่างออกไป พัฒนา “ระบบขับเคลื่อนไฮบริดที่ไว้ใจได้” สำหรับผู้ใช้จริงในภูมิประเทศที่โหด เช่น ประเทศออสเตรเลีย ไทย หรือภูมิภาคอาเซียน
ปัจจุบัน Mitsubishi TRITON มาพร้อม 2 เครื่องยนต์ให้เลือก
2.4 TURBO Hyper Power
- เครื่องยนต์ดีเซล รหัส 4N16 Hyper Power แบบ 4 สูบ แถวเรียง ขนาด 2.4 ลิตร 2,442 ซีซี. เทอร์โบแปรผัน VG-Turbo – Intercooler กระบอกสูบ x ช่วงชัก 86.0 x 105.1 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 15.2 : 1 ให้กำลัง 184 แรงม้า ที่ 3,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร ที่ 2,250 – 2,500 รอบ/นาที จับคู่กับ เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และ เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง / ขับเคลื่อน 4 ล้อ Super Select Full-time 4WD II
เครื่องยนต์ดีเซล แบบ 4 สูบ แถวเรียง ขนาด 2.4 ลิตร เทอร์โบคู่ Bi-Turbo พละกำลังสูงสุด 204 แรงม้า 470 นิวตันเมตร ขับเคลื่อน 4 ล้อ Super Select Full-time 4WD II ส่งกำลังเกียร์ธรรมดา 6MT และเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีต (ขายไทยปลายปีในรุ่น Top สุด 4WD AT)
เทคโนโลยีการขับขี่
- ปุ่มปรับโหมด Off-Road 7 โหมดการขับขี่
- ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Full-time AWD (Super Select 4WD II) ปรับได้ 4 แบบ
- ขับเคลื่อน 2 ล้อ (2H) ขับขี่บนสภาพถนนปกติ
- ขับเคลื่อน 4 ล้อ (4H) ขับขี่บนสภาพถนนเปียกลื่น ที่ใช้ความเร็ว
- ขับเคลื่อน 4 ล้อ (4HLC) ขับขี่เส้นทางทุรกันดาร แต่ยังใช้ความเร็วได้
- ขับเคลื่อน 4 ล้อ (4LLC) ขับขี่เส้นทางทุรกันดารมาก มีโคลน เนินสลับ ลาดชันมาก
-
ระบบ Active Limited Slip แบบควบคุมด้วยระบบเบรก
-
เฟืองท้าย ระบบล็อคเพลาหลัง Diff-Lock
-
ระบบควบคุมการขับเคลื่อน และ สมดุลขณะเข้าโค้ง Active Yaw Control
-
ระบบลดกำลังเครื่องยนต์ เพื่อช่วยเบรก Brake Override System
