Advertisement

Advertisement

ผู้คนไม่วางใจ เทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติ Self-Driving

ผู้คนไม่วางใจ เทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติ Self-Driving

Advertisement

Advertisement

แม้ว่าปัจจุบันเทคโนโลยี Self-Driving ได้รับการยืนยันจากผู้ผลิตรถยนต์ว่าสามารถใช้งานได้จริงๆ แต่ความกังวลของผู้คนยังคงมีอยู่ และ ยังไม่ค่อยไว้วางใจเทคโนโลยีดังกล่าว

งานวิจัยนี้มาจาก CarGurus ซึ่งสำรวจเจ้าของรถ 1,007 รายเกี่ยวกับความรู้สึกเกี่ยวกับเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติ รวมถึงคุณสมบัติช่วยเหลือผู้ขับขี่อื่นๆ ในรถยนต์ใหม่

ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ กังวลเกี่ยวกับเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติ มีเพียง 12% ที่อยากให้เทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติในการส่งของ บรรทุก และอีก 13% ยินดีที่พร้อมใช้เทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติในการบรรทุกคน

อย่างไรก็ตาม ความเห็นโดยรวมของผู้คนมีความแตกแยกมากขึ้น โดย 30% รู้สึกตื่นเต้นเกี่ยวกับการพัฒนารถยนต์ไร้คนขับ อีก 35 เปอร์เซ็นต์ รู้สึกเฉยๆ และ 36% รู้สึกกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติ

เมื่อพูดถึงคุณสมบัติด้านความปลอดภัย เช่น ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ ระบบตรวจสอบจุดบอด กล้องถอยหลัง ผู้คนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญมากกว่า และ รู้สึกปลอดภัยเมื่อมีระบบเหล่านี้

และผู้เข้าร่วมทดสอบกว่า 44 เปอร์เซ็นต์ บอกว่าพวกเขาจะกังวลว่าใครรับผิดชอบ หากมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นในการขับขี่

สำหรับแบรนด์รถยนต์ขับขี่อัตโนมัติ เทสลาได้รับความไว้วางใจมากที่สุดในการพัฒนารถยนต์ไร้คนขับ โดยได้รับคะแนนเสียง 22 เปอร์เซ็นต์ แม้ว่า BMW และ Audi ถือเป็นแบรนด์ที่น่าเชื่อถือมากที่สุด แต่พวกเขาพึ่งให้บริการเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติไม่นาน

ที่น่าสนใจคือ Apple ซึ่งยังไม่ได้ผลิตรถยนต์ ได้รับความสนใจกว่า 6% ตามด้วย FORD เพียง 2%

Autopilot มี 5 ระดับ ได้แก่

  • ระดับ 1 จะมีระบบอัตโนมัติ ช่วยเหลือผู้ขับขี่ เช่น การบังคับเลี้ยวหรือการเร่งและรักษาคุมความเร็วคงที่ รวมทั้งระบบควบคุมความเร็วคงที่แบบปรับความเร็วอัตโนมัติ ซึ่งสามารถควบคุมยานพาหนะไว้ในระยะที่ปลอดภัยต่ออุบัตเหตุ ซึ่งคุณสมบัติ Level 1 ยังต้องการวิจารณญาณของมนุษย์คนขับ ตรวจสอบการใช้ฟังก์ชั่นช่วยขับขี่ร่วมด้วย
  • ระดับ 2 จะมีระบบ ADAS หรือ Advanced Driver Assistance Systems ซึ่งเป็นระบบบังคับเลี้ยวอัตโนมัติคู่กับระบบความคุมอัตรเร่งและปรับความเร็วให้ทำงานประสานกันผ่านกลไกการควบคุมที่ซับซ้อน… ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ทุกค่ายล้วนใส่เงินไปกับการวิจัยระบบ ADAS ต่อเนื่องมานาน ซึ่งระบบ ADAS ที่มีชื่อเสียงและสอบผ่านมาตรฐาน Level 2 รุ่นแรกๆ จนได้ทดสอบ
  • ระดับ 3 จะมีความสามารถในการตรวจจับสภาพแวดล้อม และสามารถตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดเช่น การเร่งแซงรถที่ช้า แต่ระบบก็ยังต้องการความช่วยเหลือจากมนุษย์ แม้มนุษย์ไม่ต้องเหยียบคันเร่งถือพวงมาลัย… แต่ผู้ขับขี่จะต้องตื่นตัวและพร้อมที่จะเข้าควบคุมทันทีหากระบบผิดพลาด ซึ่งส่วนใหญ่ระบบจะออกแบบให้ตรวจสอบเงื่อนไขการทำงานอัตโนมัติตลอดเวลา และหาก Condition หรือเงื่อนไขการทำงานในระบบผิดพลาด… รถจะมีฟังก์ชั่นขอความช่วยเหลือจากมนุษย์ติดมาด้วย
  • ระดับ 4 ไม่ต้องมีมนุษย์คอยช่วยเหลือในยามเข้าตาจนเหมือน Level 3 อีกเลย แม้จะมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นทั้งในระบบและสภาพแวดล้อมภายนอก หรือแม้แต่เกิดขัดข้องขึ้น พาหนะ Level 4 ก็จะจัดการความผิดปกติและบกพร่องทั้งหลายได้เอง โดยพึ่งพาและปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ในฐานะผู้โดยสาร มากกว่าจะพึ่งพามนุษย์ในฐานะผู้ควบคุมปกป้องความผิดพลาด พาหนะ Level 4 สามารถทำงานในโหมดขับขี่ด้วยตนเอง หรือ Self-Driving Mode ได้อย่างสมบูรณ์
  • ระดับ 5 ไม่ต้องการความช่วยเหลือใดๆ จากมนุษย์อีก เพราะระบบจะทำงาน Dynamic Driving Task เต็มประสิทธิภาพ เทียบเท่าระดับเดียวกับหรือดีกว่ามนุษย์ที่มีทักษะการขับรถยอดเยี่ยมที่สุด… พาหนะ Level 5 จึงไม่มีแม้แต่พวงมาลัย แป้นเหยียบคันเร่งและแป้นเบรก ทำให้พาหนะ Level 5 เป็น Fully Autonomous Cars ซึ่งเป็นเป้าหมายความสำเร็จของการพัฒนายานพาหนะบนผิวพื้นยุคต่อไป… ซึ่งหลายฝ่ายคาดว่า กฏหมายและโครงสร้างพื้นฐานของ Smart City

Carscoops.com

Advertisement

Advertisement

ใส่ความเห็น

คุณไม่สามารถคัดลอกเนื้อหาของหน้านี้ได้