กำไรลดลง 38.5% ครึ่งปี 2025 Volkswagen Group ยอดขายโตขึ้นรวม 4.36 ล้านคัน

กำไรลดลง 38.5% ครึ่งปี 2025 Volkswagen Group ยอดขายโตขึ้นรวม 4.36 ล้านคัน
Spread the love
Advertisement Advertisement

Advertisement

 

Volkswagen Group ครึ่งปี 2025: “ยอดขายโต – กำไรหด” ฝ่ามรสุม EV-ภาษีสหรัฐฯ

แม้ต้องเผชิญแรงเสียดทานจากสงครามการค้า ภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่พุ่งสูง และต้นทุนโครงสร้างที่ถาโถม แต่ Volkswagen Group ยังคง “ยืนระยะ” ได้อย่างมั่นคงในครึ่งปีแรก 2025 ด้วยยอดขายรถที่เติบโตขึ้นเล็กน้อย และออเดอร์ในยุโรปที่ยังคึกคัก โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าที่มาแรงสวนกระแส

อย่างไรก็ตาม “ผลกำไร” กลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง…

ภาพรวมธุรกิจ

  • รายได้รวม: 158.4 พันล้านยูโร ≈ 6.03 ล้านล้านบาท (ใกล้เคียง H1 2024)
  • กำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit): 6.7 พันล้านยูโร ≈ 254.9 พันล้านบาท ↓ ลดลง 33% จากปีก่อน
  • กำไรสุทธิ (Net Profit): 4.477 พันล้านยูโร ≈ 170.3 พันล้านบาท ↓ ลดลง 38.5% จากปีก่อน
  • กระแสเงินสดสุทธิ (Automotive): –1.4 พันล้านยูโร ≈ –53.3 พันล้านบาท

ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ Volkswagen Group ทำรายได้รวม 158.4 พันล้านยูโร (ราว 6.03 ล้านล้านบาท) ใกล้เคียงปีก่อนหน้า โดยมียอดขายรถรวมทั้งสิ้น 4.36 ล้านคัน ซึ่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 4.34 ล้านคันใน H1 2024

ต้นทุนพุ่ง ภาษีเล่นงาน กำไรหด

เหตุผลหลักที่กำไรกระเตื้องไม่ขึ้น แม้ยอดขายจะโต มาจากหลายปัจจัย

  • ภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นเป็น 27.5% ส่งผลต้นทุนพุ่งกว่า 1.3 พันล้านยูโร
  • ค่าใช้จ่ายในการปรับโครงสร้างองค์กร เช่น CARIAD, Audi และ Volkswagen เอง รวมแล้วกว่า 700 ล้านยูโร
  • สัดส่วนยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ซึ่งแม้จะช่วยเรื่องภาพลักษณ์และยอดจอง แต่กลับให้กำไรต่อหน่วยที่ต่ำกว่ารถเครื่องยนต์ปกติ

ยอดขายรถ

  • รวมทั้งหมด: 4.36 ล้านคัน (เพิ่มจาก 4.34 ล้านคันใน H1 2024)

  • ตลาดที่เติบโตเด่น

    • อเมริกาใต้: +19%
    • ยุโรปตะวันตก: +2%
    • ยุโรปตะวันออก: +5%
    • ยอดจอง EV ในยุโรป: +62%
  • ตลาดที่ลดลง

    • จีน: –3%
    • อเมริกาเหนือ: –16% (กระทบจากภาษีนำเข้า)

ปัจจัยลบหลัก

  • ภาษีนำเข้าสหรัฐฯ สูงขึ้น (27.5%) → ต้นทุนเพิ่ม ≈ 49.45 พันล้านบาท
  • ค่าใช้จ่ายปรับโครงสร้างใน Audi, VW, CARIAD ≈ 26.6 พันล้านบาท
  • สัดส่วนรถ EV เพิ่มขึ้น → กำไรต่อคันลดลง
  • ค่าเงิน และต้นทุนพลังงานผันผวน

แนวโน้มครึ่งหลังปี 2025

  • คาดรายได้ทั้งปี: ใกล้เคียงปีก่อน
  • กำไรจากการดำเนินงาน (ทั้งปี): คาด Margin อยู่ในช่วง 4.0–5.0%
  • คาด Net Cash Flow (Automotive): 1–3 พันล้านยูโร ≈ 38–114 พันล้านบาท
  • คาด Net Liquidity (Automotive):31–33 พันล้านยูโร ≈ 1.18–1.25 ล้านล้านบาท

หากภาษีนำเข้าสหรัฐยังสูง แนวโน้มจะอยู่ในด้านล่างของกรอบคาดการณ์

สรุปผลประกอบการ Volkswagen Group ครึ่งปีแรก 2025

  • ขายรถทั้งหมด 4.36 ล้านคัน เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อน
  • รายได้รวม 158.4 พันล้านยูโร คิดเป็นประมาณ 6.03 ล้านล้านบาท
  • กำไรสุทธิ 4.48 พันล้านยูโร หรือประมาณ 170.3 พันล้านบาท ลดลง 38.5 เปอร์เซ็นต์จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
  • กำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 6.7 พันล้านยูโร ลดลง 33 เปอร์เซ็นต์
  • กระแสเงินสดสุทธิจากธุรกิจยานยนต์ติดลบ 1.4 พันล้านยูโร

ปัจจัยลบที่กระทบกำไร

  • ภาษีนำเข้าสหรัฐอเมริกาที่เพิ่มขึ้นเป็น 27.5 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ต้นทุนสูงขึ้นราว 49.4 พันล้านบาท
  • ค่าใช้จ่ายในการปรับโครงสร้างของ Audi Volkswagen และ Cariad รวมประมาณ 26.6 พันล้านบาท
  • ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น แต่กำไรต่อคันต่ำ ส่งผลให้โครงสร้างรายได้โดยรวมลดลง
  • ตลาดจีนและอเมริกาเหนือชะลอตัว โดยเฉพาะในอเมริกาเหนือที่ยอดขายลดลงถึง 16 เปอร์เซ็นต์

แนวโน้มครึ่งปีหลัง

  • บริษัทคาดว่ารายได้รวมทั้งปีจะใกล้เคียงกับปี 2024
  • อัตรากำไรจากการดำเนินงานทั้งปีจะอยู่ในช่วง 4.0 ถึง 5.0 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งต่ำกว่าที่เคยคาดไว้ก่อนหน้า
  • การฟื้นตัวของกำไรในครึ่งปีหลังจะขึ้นอยู่กับว่าสหรัฐอเมริกาจะปรับลดภาษีนำเข้าหรือไม่

Oliver Blume, CEO Volkswagen Group กล่าวว่า:
“ด้วยความสำเร็จของผลิตภัณฑ์ใหม่ของเรา Volkswagen Group ยังคงรักษาความแข็งแกร่งไว้ได้ในสภาวะแวดล้อมที่ท้าทายอย่างยิ่ง เรามีการปรับปรุงอย่างเห็นได้ชัดในด้านการออกแบบ เทคโนโลยี และคุณภาพ พร้อมกับความก้าวหน้าที่สำคัญด้านซอฟต์แวร์ ยอดขายของเรายังคงทรงตัวได้ดีในตลาดโลกที่มีการแข่งขันสูง ในยุโรป เรายังสามารถขยายความเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า โดยมีส่วนแบ่งตลาดถึง 28% และยอดคำสั่งซื้อยังคงแน่นหนา ด้วยแรงสนับสนุนจากการรุกผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องและความต้องการที่ดีอย่างสม่ำเสมอ เราคาดว่าแนวโน้มเชิงบวกจะดำเนินต่อไปในครึ่งหลังของปี”

Arno Antlitz, CFO & COO Volkswagen Group กล่าวเพิ่มเติมว่า:
“ตัวเลขครึ่งปีของเราสะท้อนภาพที่แตกต่างกันออกไป ด้านหนึ่ง เราประสบความสำเร็จด้านผลิตภัณฑ์อย่างแข็งแกร่ง และมีความคืบหน้าในการปรับโครงสร้างบริษัท แต่อีกด้านหนึ่ง ผลการดำเนินงานลดลงถึงหนึ่งในสามเมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งมีสาเหตุส่วนหนึ่งจากการขายรถยนต์ไฟฟ้าที่มีอัตรากำไรต่ำมากขึ้น นอกจากนี้ ภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ ปรับเพิ่ม และมาตรการปรับโครงสร้างก็ส่งผลในทางลบ หากไม่นับรวมรายการเหล่านี้ อัตรากำไรจากการดำเนินงานในไตรมาสสองอยู่ที่เกือบ 7% ซึ่งอยู่ในระดับบนสุดของที่เราคาดการณ์ไว้ แสดงให้เห็นว่าเรากำลังมาถูกทาง แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ ‘เงินสดในมือ’ ดังนั้นเราจึงต้องเดินหน้ากับโครงการปรับปรุงผลกำไรต่อไป และเร่งสปีดในจุดที่จำเป็น”

กลุ่มแบรนด์สำหรับตลาดทั่วไป (Volume Brands)

  1. Volkswagen Passenger Cars – แบรนด์หลักของกลุ่ม ผลิตรถยนต์นั่งทั่วไป เช่น Golf, Passat, Tiguan

  2. Škoda Auto – แบรนด์จากเช็ก ราคาคุ้มค่า ฟังก์ชันดี เช่น Octavia, Kodiaq

  3. SEAT – แบรนด์จากสเปน เน้นความสปอร์ต ราคาประหยัด (กำลังถูกปรับลดบทบาท)

  4. CUPRA – แบรนด์แตกแขนงจาก SEAT เน้นความสปอร์ตพรีเมียม เช่น Formentor

  5. Volkswagen Commercial Vehicles – รถเพื่อการพาณิชย์ เช่น Amarok, Multivan, Transporter

กลุ่มแบรนด์หรู (Premium & Luxury Brands)

  1. Audi – แบรนด์หรูหลัก แข่งกับ BMW และ Mercedes-Benz เช่น A4, Q7, e-tron

  2. Lamborghini – ซูเปอร์คาร์สมรรถนะสูง เช่น Aventador, Urus

  3. Bentley – รถยนต์หรูระดับ Ultra-luxury จากอังกฤษ เช่น Bentayga, Continental GT

  4. Porsche – แบรนด์สปอร์ตหรูสมรรถนะสูง เช่น 911, Taycan, Macan

แบรนด์รถบรรทุกและเทคโนโลยีอุตสาหกรรม

  1. Scania และ MAN – ผู้ผลิตรถบรรทุกและยานยนต์พาณิชย์ขนาดใหญ่ (อยู่ภายใต้บริษัทลูกชื่อ TRATON SE)

ถาม ChatGPT

คุณไม่สามารถคัดลอกเนื้อหาของหน้านี้ได้