BYD K-Car รถไฟฟ้าทรงกล่องคันจิ๋วรุ่นใหม่ เตรียมเปิดตัวครั้งแรกที่ Japan Mobility Show 2025


BYD K-Car รถไฟฟ้าทรงกล่องคันจิ๋วรุ่นใหม่ เตรียมเปิดตัวครั้งแรกที่ Japan Mobility Show 2025
BYD บุกตลาดญี่ปุ่นด้วยอาวุธลับใหม่ — รถไฟฟ้าขนาดจิ๋ว “K-Car” ที่ออกแบบมาเพื่อคนเมืองโดยเฉพาะ รถรุ่นนี้เตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน Japan Mobility Show 2025 วันที่ 30 ตุลาคมนี้ ซึ่งจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการรุกตลาดรถ Kei Car BEV ครั้งแรกของค่ายจีนรายใหญ่ในดินแดนอาทิตย์อุทัย
จากรถพลังไฟฟ้าไซซ์ใหญ่ สู่ตลาดจิ๋วแต่แจ๋ว
ที่ผ่านมา BYD ประสบความสำเร็จอย่างสูงในญี่ปุ่นกับรุ่น Atto 3, Dolphin และ Seal แต่รถทั้งสามรุ่นยังคงอยู่ในกลุ่มขนาดกลางถึงใหญ่ ขณะที่ตลาดรถเล็กในญี่ปุ่นกลับมีสัดส่วนสูงถึง 38% ของยอดขายรถทั้งหมดในปี 2024
ด้วยเหตุนี้ BYD จึงตัดสินใจพัฒนารถรุ่นใหม่ ขึ้นมาเฉพาะสำหรับตลาดญี่ปุ่น ภายใต้ข้อกำหนด “Kei Car” ที่เข้มงวด — ตัวรถต้องมีความยาวไม่เกิน 3.4 เมตร กว้างไม่เกิน 1.48 เมตร และสูงไม่เกิน 2 เมตร — เพื่อให้ได้รับสิทธิ์ทางภาษีและค่าทางด่วนที่ถูกกว่า รวมถึงที่จอดรถง่ายขึ้นในเมืองใหญ่
ดีไซน์ทรงกล่อง เรียบง่ายแต่ใช้งานสูงสุด
ภาพจริงของ BYD K-Car ที่ถูกพบวิ่งทดสอบในญี่ปุ่น โดยไร้การพรางตัว เผยให้เห็นรูปลักษณ์ภายนอกอย่างครบถ้วน ตัวถังทรงกล่องสีขาวตัดดำแบบ Floating Roof เสริมด้วยล้ออัลลอยสีเทาเข้มและ ประตูสไลด์ไฟฟ้า 2 ฝั่ง ที่เปิดกว้างคล้ายมินิแวนขนาดย่อม
ดีไซน์โดยรวมเน้น “ฟังก์ชันมากกว่าฟอร์ม” — เส้นหลังคาเรียบตรงเพิ่มพื้นที่เหนือศีรษะ ฐานล้อยาวช่วยขยายพื้นที่ภายใน ขณะที่กันชนหน้า-หลังถูกออกแบบให้สั้นลงเพื่อให้คล่องตัวในตรอกซอยญี่ปุ่น เป็นจุดขายสำคัญของรถกลุ่ม Kei ที่ออกแบบมาเพื่อชีวิตคนเมืองโดยแท้
ภายในมินิมอลสไตล์ BYD รุ่นใหม่
แม้ยังไม่มีภาพภายในเผยอย่างเป็นทางการ แต่ข้อมูลที่หลุดออกมาก่อนหน้านี้ระบุว่า K-Car จะติดตั้ง พวงมาลัยสามก้าน, หน้าจอสัมผัสแบบ “Floating Display” และการตกแต่งเรียบหรูตามแนวคิดมินิมอลของ BYD ยุคใหม่ โดยเน้นการใช้พื้นที่อย่างคุ้มค่าและวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
สมรรถนะและพลังไฟฟ้าที่เพียงพอต่อชีวิตคนเมือง
หัวใจหลักของ BYD K-Car คือมอเตอร์ไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนด้วย แบตเตอรี่ LFP ความจุ 20 kWh ให้ระยะทางวิ่งสูงสุด 180 กม. ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (มาตรฐาน WLTC) ซึ่งแม้จะไม่ไกลเท่ารถ BEV ขนาดใหญ่ แต่เพียงพอต่อการใช้งานประจำวันของคนเมืองญี่ปุ่น ที่เฉลี่ยขับเพียง 30–50 กม. ต่อวัน
แบตเตอรี่ชนิด LFP ยังมีจุดเด่นเรื่องความปลอดภัย อายุการใช้งานยาว และต้นทุนต่ำ — ปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้รถรุ่นนี้ตั้งราคาได้ในระดับเข้าถึงง่าย
ราคาเริ่มราว 2 ล้านเยน ชนตรง Honda N-Box
สื่อญี่ปุ่นคาดว่า BYD K-Car จะเปิดราคาที่ราว 2 ล้านเยน (ประมาณ 430,000 บาท) ใกล้เคียงกับ Honda N-Box รุ่นยอดนิยมที่เริ่มต้นที่ 1.78 ล้านเยน หรือราว 379,000 บาท ซึ่งหมายความว่า BYD พร้อมเปิดศึกกับเจ้าตลาดอย่าง Honda, Suzuki และ Daihatsu แบบตัวต่อตัวในสมรภูมิรถเล็กพลังไฟฟ้า
ก้าวสำคัญของ BYD ในญี่ปุ่น
สำหรับ BYD แล้ว การเปิดตัว K-Car ไม่ใช่เพียงการเพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์ แต่คือ “บทพิสูจน์ความเข้าใจตลาดญี่ปุ่น” อย่างแท้จริง เพราะตลาดนี้ให้ความสำคัญกับความประหยัด พื้นที่ใช้สอย และดีไซน์ที่สอดคล้องกับชีวิตประจำวัน มากกว่าพลังแรงหรือสมรรถนะสูง
BYD จึงเลือกใช้กลยุทธ์ “เริ่มจากเล็ก แต่คิดใหญ่” — บุกด้วยรถ BEV จิ๋วที่ตอบโจทย์จริง เพื่อสร้างฐานลูกค้าและภาพลักษณ์ที่เป็นมิตร ก่อนขยายต่อสู่ตลาดรถระดับกลางและพรีเมียมในอนาคต
สิทธิประโยชน์ที่ได้รับ
-
รัฐบาลญี่ปุ่นมีโครงการ “Clean Energy Vehicle Subsidy” ซึ่งครอบคลุมรถไฟฟ้า (BEV) และปลั๊ก-อินไฮบริด โดยในปี 2025 สูงสุดอยู่ที่ประมาณ 900,000 เยน หรือ 191,000 บาท สำหรับรุ่นทั่วไป
-
สำหรับ Kei BEV โดยเฉพาะ สามารถได้รับเงินอุดหนุนสูงถึงประมาณ 574,000 เยน 122,000 บาท ในหลายกรณี.
-
นอกจากนี้ ยังมีสิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น โครงการลดหย่อนภาษียานยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (“Eco-Car Tax Reduction”) ซึ่งช่วยลดภาษีรถยนต์และภาษีน้ำหนัก/ขนาดได้.
-
สำหรับ Kei car ทั่วไป (ไม่เฉพาะไฟฟ้า) มีเงื่อนไขพิเศษ เช่น ภาษีน้ำหนัก ภาษีรถยนต์ และค่าประกันต่ำกว่ารถขนาดปกติ.
จุดที่ควรทราบ
-
แม้จะมีเงินอุดหนุนและสิทธิลดหย่อนภาษี แต่การเก็บชาร์จ-โครงสร้างพื้นฐาน ความกังวลเรื่องระยะทาง (range anxiety) และราคารถที่ยังสูงอยู่ ทำให้การยอมรับของ BEV ในญี่ปุ่นยังอยู่ในสัดส่วนไม่สูงมาก.
-
สิทธิประโยชน์บางส่วนอาจแตกต่างไปตามเขต/เทศบาล (local incentive) ซึ่งนอกเหนือจากเงินอุดหนุนระดับชาติ ทำให้ต้นทุนสุทธิอาจลดลงได้มากขึ้น — เช่น หลายเมืองอาจมีเงินช่วยเหลือเพิ่มเติมสำหรับรถไฟฟ้า.
สิทธิประโยชน์ระดับ “ผู้บริโภค” (Consumer Incentive)
รถยนต์ไฟฟ้า Kei-Car ที่วางจำหน่ายในญี่ปุ่น ไม่จำเป็นต้องผลิตในประเทศญี่ปุ่น ก็สามารถได้รับสิทธิ์ “เงินอุดหนุน” ให้ผู้ซื้อได้ แต่จะต้องเข้าเกณฑ์จากกระทรวง METI (Ministry of Economy, Trade and Industry) ได้แก่
- ต้องผ่านมาตรฐาน “Clean Energy Vehicle Subsidy”
- ต้องมี ระบบบริการหลังการขายในญี่ปุ่น ครบ (เช่น ศูนย์บริการ, อะไหล่, การรับประกันแบตเตอรี่)
- ต้องแสดง ข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม, การประหยัดพลังงาน และความปลอดภัย
- ต้องมี โครงสร้างพื้นฐานรองรับการชาร์จ (charging network) ที่เป็นทางการในประเทศญี่ปุ่น
ถ้าเข้าเงื่อนไขครบ รถคันนั้นจะมีสิทธิ์ให้ลูกค้ารับเงินอุดหนุน (เช่น 550,000–900,000 เยน) โดย ไม่จำเป็นต้องผลิตในประเทศญี่ปุ่น

2025年8月 新車販売台数トップ10 (August 2025 – Japan New Car Sales Top 10)
-
HONDA N-BOX – 14,936 units (+3.4%)
-
SUZUKI Spacia – 11,478 units (+2.8%)
-
Daihatsu Move – 10,847 units (+145.0%)
-
TOYOTA Yaris – 8,818 units (▼0.9%)
-
TOYOTA Corolla – 8,589 units (▼18.5%)
-
TOYOTA Raize – 7,487 units (+37.1%)
-
Daihatsu Tanto – 6,957 units (▼29.9%)
-
NISSAN Roomy – 6,644 units (▼17.5%)
-
TOYOTA Sienta – 5,964 units (▼33.9%)
-
HONDA Freed – 5,697 units (▼18.5%)
