จีนสั่งเบรกสงครามราคารถยนต์ไฟฟ้า: ไม่มีใครชนะ มีแต่จะพังทั้งระบบ

สรุป: จีนสั่งเบรกสงครามราคารถ EV
- BYD จุดชนวนสงครามราคา เริ่มลดราคาครั้งใหญ่ 22 รุ่น สูงสุดถึง 34% ตั้งแต่ 23 พ.ค. ทำให้แบรนด์อื่น เช่น Geely และ Chery ลดราคาตาม
- รัฐบาลจีนแทรกแซง โดยกระทรวงอุตสาหกรรมจีนเรียกร้องให้หยุดสงครามราคา หวั่นกระทบความมั่นคงและการเติบโตของอุตสาหกรรม
- สมาคม CAAM เห็นด้วย ชี้สงครามราคาทำให้กำไรลดลง ประสิทธิภาพลดลง และเสนอให้แข่งขันอย่างเป็นธรรม ห้ามขายต่ำกว่าทุน
- เป้าหมายของรัฐ คือปกป้องทั้งผู้บริโภคและผู้ผลิตรายเล็ก พร้อมผลักดันอุตสาหกรรมให้เติบโตอย่างยั่งยืน ไม่ใช่แค่เน้นยอดขายระยะสั้น
- ผลกระทบ ระยะสั้นผู้บริโภคได้ประโยชน์ แต่ระยะยาวอาจเกิดการผูกขาด เทคโนโลยีหยุดพัฒนา และบริษัทเล็กๆ ออกจากตลาด
จีนสั่งเบรกสงครามราคารถยนต์ไฟฟ้า: ไม่มีใครชนะ มีแต่จะพังทั้งระบบ
ในที่สุด รัฐบาลจีนก็ออกมา “แตะเบรก” สงครามราคารถยนต์ไฟฟ้าที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ นำโดยค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง BYD หลังเปิดเกมลดราคาครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคมที่ผ่านมา ครอบคลุมถึง 22 รุ่น ลดสูงสุดถึง 34% ทำให้คู่แข่งหลายราย เช่น Geely และ Chery ต้องรีบลดราคาตามมาในทันที
แม้จะเป็นประโยชน์กับผู้บริโภคในระยะสั้น แต่การแข่งลดราคากลับกลายเป็นดาบสองคมที่กำลังบั่นทอนเสถียรภาพของทั้งอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าของจีน
รัฐบาลจีนเข้าควบคุม
กระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งประเทศจีน (MIIT) ได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยแสดงความกังวลอย่างจริงจังต่อ “สงครามราคาที่ไม่มีผู้ชนะ” และเรียกร้องให้ทุกบริษัทในอุตสาหกรรมหยุดพฤติกรรมการลดราคาที่รุนแรงจนเกินไป
“ไม่มีผู้ชนะในสงครามราคา และยิ่งไม่ต้องพูดถึงอนาคตของอุตสาหกรรมเลย” — ข้อความจาก MIIT บนบัญชี WeChat
พร้อมกันนี้ รัฐบาลยังประกาศว่าจะร่วมมือกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายเพื่อควบคุมการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม และเตรียมออกมาตรการกำกับดูแลเพิ่มเติม เพื่อปกป้องทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคในระยะยาว
สมาคมอุตสาหกรรมร่วมเสียง
สมาคมผู้ผลิตยานยนต์แห่งประเทศจีน (CAAM) ก็ได้แสดงจุดยืนในแนวทางเดียวกัน โดยระบุว่า สงครามราคาที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบต่อการทำกำไร ประสิทธิภาพ และความสามารถในการพัฒนาเทคโนโลยีของผู้ผลิตรถยนต์
ทางสมาคมเสนอให้ทุกบริษัทควรยึดมั่นในหลักการแข่งขันที่เป็นธรรม และหลีกเลี่ยงการผูกขาดตลาดโดยเฉพาะผู้เล่นรายใหญ่ พร้อมเตือนว่า “การขายต่ำกว่าต้นทุน” หรือ dumping อาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย
เบื้องหลังความตึงเครียด
ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของจีนในปัจจุบันคือสนามรบที่มีผู้เล่นมากมาย ทั้งแบรนด์ดั้งเดิม แบรนด์หน้าใหม่ และผู้ผลิตต่างชาติที่ต้องการชิงส่วนแบ่งจากตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้ การแข่งขันที่ดุเดือด ทำให้บางบริษัทเลือกกลยุทธ์ “ตัดราคา” เพื่ออยู่รอด
แต่เมื่อต่างฝ่ายต่างแข่งกันลดราคาลงเรื่อยๆ ก็ย่อมทำให้กำไรลดน้อยถอยลง ผู้ประกอบการรายเล็กเริ่มล้มหายตายจาก ขณะที่รายใหญ่แม้ยังพอแบกรับได้ แต่ก็ไม่ยั่งยืนในระยะยาว
บทสรุป: ราคาถูก… แต่ใครได้กำไร?
ในเกมการแข่งขันอันดุเดือดนี้ ผู้บริโภคอาจเป็นผู้ได้ประโยชน์ในช่วงแรก แต่หากบริษัทล้มหายไป เทคโนโลยีหยุดพัฒนา หรือเกิดการผูกขาดในอนาคต สุดท้ายผู้ที่เสียหายที่สุดก็อาจเป็นพวกเราทุกคน
จีนกำลังเลือก “คุณภาพ” แทน “ปริมาณ” และสัญญาณจากปักกิ่งครั้งนี้อาจสะเทือนวงการ EV ทั่วโลก