“สงครามราคาเดือดจัด! จีนยอมรับเราขาย 30 ล้านคันยังสู้กำไร TOYOTA ไม่ได้ จากการขาย 9 ล้านคัน

Advertisement
รัฐบาลจีนสั่งคุมเข้มการแข่งขันในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า หลังสงครามราคาส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีจีนได้หารือถึงสถานการณ์การแข่งขันในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการควบคุมดูแลการแข่งขันที่ไม่สมเหตุสมผล เพื่อส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพสูงของอุตสาหกรรมนี้
ที่ประชุมระบุว่าควรให้ความสำคัญกับการควบคุมดูแลระยะยาวและการใช้มาตรการแบบองค์รวม เพื่อจัดการกับปรากฏการณ์การแข่งขันที่ไม่สมเหตุสมผลต่างๆ ในอุตสาหกรรม EV
มาตรการสำคัญที่ถูกเน้นย้ำ ได้แก่
- เสริมสร้างการตรวจสอบต้นทุนและติดตามราคา: เพื่อป้องกันการตัดราคาที่ไม่เป็นธรรม
- กำกับดูแลการผลิตผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกัน: เพื่อรับประกันคุณภาพและมาตรฐานของรถยนต์
- กำชับบริษัทรถยนต์รายใหญ่ให้ปฏิบัติตามข้อตกลงการชำระเงิน: เพื่อรักษาสภาพคล่องทางการเงินของซัพพลายเออร์
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเน้นย้ำถึงการสร้างกลไกที่มีประสิทธิภาพในการควบคุมการแข่งขันในระยะยาว ส่งเสริมการกำกับดูแลตนเองของอุตสาหกรรม และใช้มาตรฐานเป็นแนวทางในการยกระดับอุตสาหกรรม โดยมุ่งหวังให้บริษัทต่างๆ แข่งขันกันด้วยนวัตกรรมทางเทคโนโลยีและการปรับปรุงคุณภาพ แทนที่จะแข่งขันด้านราคาเพียงอย่างเดียว
“สงครามราคา” ที่ส่งผลกระทบต่อตลาด
ก่อนหน้านี้ หนังสือพิมพ์ People’s Daily ได้วิพากษ์วิจารณ์ “สงครามราคา” ในตลาดรถยนต์อย่างรุนแรง โดยระบุว่าการแข่งขันเป็นเรื่องปกติในเศรษฐกิจตลาด แต่การทำสงครามราคาและการแข่งขันแบบ “ภายใน” (involution) จะนำไปสู่สถานการณ์ที่ “ของไม่ดีขับไล่ของดี” และสุดท้ายจะไม่มีใครเป็นผู้ชนะ การแข่งขันที่มุ่งเน้นแต่การลดราคาจะทำให้เกิดผลเสียต่อทุกฝ่าย มีเพียงการพึ่งพานวัตกรรมทางเทคโนโลยีและการยกระดับอุตสาหกรรมเท่านั้นที่จะทำให้บริษัทสามารถยืนหยัดและคว้าอนาคตไว้ได้
ในบริบทของการสร้างแรงขับเคลื่อนใหม่และปรับปรุงแรงขับเคลื่อนเก่า ยิ่งเผชิญกับแรงกดดันจากการแข่งขันและความเจ็บปวดจากการเปลี่ยนแปลงมากเท่าไร ก็ยิ่งต้องทุ่มเทอย่างหนักเพื่อทำลายการแข่งขันแบบ “ภายใน” เร่งสร้างตลาดรวมที่เป็นหนึ่งเดียวทั่วประเทศ และสร้างสภาพแวดล้อมทางนโยบายและตลาดที่เอื้อต่อการพัฒนาพลังการผลิตใหม่ๆ ที่มีคุณภาพ
ข้อสังเกตจากอดีตนายกเทศมนตรีเมืองฉงชิ่ง
เป็นที่น่าสนใจว่า นายหวง ฉีฟาน อดีตนายกเทศมนตรีเมืองฉงชิ่ง ได้กล่าวไว้เมื่อเร็วๆ นี้ว่า “กำไรจากการขายรถยนต์จีน 30 ล้านคัน ยังน้อยกว่ากำไรของโตโยต้า” ซึ่งเป็นประเด็นที่อุตสาหกรรมยานยนต์จีนควรนำไปพิจารณาอย่างจริงจัง สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาด้านผลกำไรที่เกิดขึ้นจากการแข่งขันที่รุนแรงและการลดราคาในตลาด
- นครฉงชิ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น “เมืองหลวงแห่งยานยนต์ของจีน” และเป็นศูนย์กลางสำคัญของอุตสาหกรรมยานยนต์ในภาคตะวันตกของประเทศจีน อุตสาหกรรมยานยนต์ของฉงชิ่งเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มรถยนต์พลังงานใหม่ (New Energy Vehicles – NEVs) และรถยนต์อัจฉริยะ
ทำไมยอดขายรถยนต์จีน 30 ล้านคันถึงกำไรน้อยกว่า Toyota?
คำกล่าวที่ว่า “กำไรจากการขายรถยนต์จีน 30 ล้านคัน ยังน้อยกว่ากำไรของโตโยต้า” ชี้ให้เห็นถึงปัญหาสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์ของจีน แม้ว่าจีนจะเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกและมีการผลิตจำนวนมาก แต่กลับเผชิญกับความท้าทายด้านผลกำไร นี่คือสาเหตุหลักๆ ที่อยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์นี้
Advertisement
1. สงครามราคาที่รุนแรงและการแข่งขันแบบ “ภายใน”
การแข่งขันด้านราคา: ตลาดรถยนต์จีนมีการแข่งขันที่สูงมาก โดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ผู้ผลิตหลายรายต่างทุ่มตลาดด้วยการลดราคาเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาด สงครามราคาที่ยืดเยื้อนี้ทำให้กำไรต่อหน่วยของรถยนต์ลดลงอย่างมาก
“การแข่งขันแบบภายใน” (Involution): คำนี้หมายถึงการแข่งขันที่มุ่งเน้นแต่การลดราคาและเพิ่มปริมาณการผลิต โดยไม่ได้มุ่งเน้นที่การสร้างนวัตกรรมหรือเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ การแข่งขันแบบนี้ทำให้เกิดวัฏจักรที่ผู้ผลิตต้องลดราคาลงไปเรื่อยๆ เพื่อความอยู่รอด ส่งผลให้กำไรโดยรวมของอุตสาหกรรมลดลง
2. การพึ่งพาเทคโนโลยีจากภายนอกและการขาดแบรนด์พรีเมียม
การพึ่งพาเทคโนโลยี: แม้ว่าจีนจะมีความก้าวหน้าในด้าน EV อย่างรวดเร็ว แต่หลายบริษัทยังคงต้องพึ่งพาเทคโนโลยีหลักบางอย่างจากต่างประเทศ เช่น แบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูง หรือชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นและลดทอนความสามารถในการทำกำไร
การขาดแบรนด์พรีเมียม: ผู้ผลิตรถยนต์จีนส่วนใหญ่ยังคงเน้นตลาดระดับกลางถึงล่าง ในขณะที่แบรนด์ต่างชาติอย่าง Toyota หรือแบรนด์หรูอื่นๆ มีความสามารถในการทำกำไรได้สูงกว่ามากจากรถยนต์พรีเมียมและแบรนด์ที่แข็งแกร่ง
3. ต้นทุนการวิจัยและพัฒนา (R&D) ที่สูง
เพื่อที่จะแข่งขันและพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง บริษัทจีนจำนวนมากต้องลงทุนมหาศาลในการวิจัยและพัฒนา ซึ่งเป็นต้นทุนที่สูงและต้องใช้เวลานานในการคืนทุน
4. ประสิทธิภาพในการผลิตและห่วงโซ่อุปทาน
แม้ว่าจีนจะมีกำลังการผลิตที่สูง แต่ประสิทธิภาพโดยรวมของห่วงโซ่อุปทานและการบริหารจัดการอาจยังไม่เทียบเท่ากับบริษัทที่มีประสบการณ์อย่าง Toyota ซึ่งมีระบบการผลิตแบบ Lean Manufacturing ที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก ทำให้ Toyota สามารถควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า
5. ปริมาณเทียบกับคุณภาพ
Toyota เน้นกลยุทธ์การผลิตที่เน้นคุณภาพ ความน่าเชื่อถือ และประสิทธิภาพ ทำให้สามารถรักษากำไรต่อคันได้สูง แม้จะไม่ได้ผลิตจำนวนมหาศาลเท่ากับตลาดจีนทั้งหมด แต่รถยนต์ของ Toyota มีมูลค่าการขายต่อที่ดีและสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า ซึ่งส่งผลดีต่อผลกำไรในระยะยาว
สรุป: ปัญหาดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าการผลิตในปริมาณมากไม่ได้แปลว่าจะได้กำไรมากเสมอไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเผชิญกับสงครามราคาและการแข่งขันที่มุ่งเน้นแต่ปริมาณ รัฐบาลจีนเองก็รับทราบถึงปัญหานี้และกำลังพยายามผลักดันให้เกิดการแข่งขันที่เน้นนวัตกรรมและคุณภาพมากขึ้น เพื่อให้อุตสาหกรรมยานยนต์จีนสามารถสร้างกำไรได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
BYD โกยกำไร 4.1 หมื่นล้านล้านบาท Q1 2025 ทุ่มวิจัยทะลุ 6.4 หมื่นล้านบาท
ภาพรวมความสามารถในการทำกำไรและค่าใช้จ่าย R&D ของแบรนด์จีน Q1 2025
- BYD: กำไรสุทธิ 9.155 พันล้านหยวน หรือ 41,457 ล้านบาท / ค่าใช้จ่าย R&D 14.223 พันล้านหยวน หรือ 64,407 ล้านบาท (อัตรากำไรขั้นต้น 20.7%)
- Geely: กำไรสุทธิ 5.672 พันล้านหยวน หรือ 25,687 ล้านบาท / ค่าใช้จ่าย R&D 3.328 พันล้านหยวน หรือ 15,070 ล้านบาท (อัตรากำไรขั้นต้น 15.78%)
- SAIC Group: กำไรสุทธิ 3.023 พันล้านหยวน หรือ 13,689 ล้านบาท / ค่าใช้จ่าย R&D 3.881 พันล้านหยวน หรือ 17,574 ล้านบาท (อัตรากำไรขั้นต้น 8.13%)
- Great Wall Motors (GWM): กำไรสุทธิ 1.751 พันล้านหยวน หรือ 7,929 ล้านบาท / ค่าใช้จ่าย R&D 1.906 พันล้านหยวน หรือ 8,631 ล้านบาท (อัตรากำไรขั้นต้น 17.84%)
- Changan: กำไรสุทธิ 1.353 พันล้านหยวน หรือ 6,126 ล้านบาท / ค่าใช้จ่าย R&D 1.501 พันล้านหยวน หรือ 6,797 ล้านบาท (อัตรากำไรขั้นต้น 13.86%)
- BAIC: กำไรสุทธิ 929 ล้านหยวน หรือ 4,206 ล้านบาท / ค่าใช้จ่าย R&D 82 ล้านหยวน หรือ 371 ล้านบาท (อัตรากำไรขั้นต้น 9.9%)
- Seres: กำไรสุทธิ 748 ล้านหยวน หรือ 3,387 ล้านบาท / ค่าใช้จ่าย R&D 1.051 พันล้านหยวน หรือ 4,759 ล้านบาท (อัตรากำไรขั้นต้น 27.62%)
- Li Auto: กำไรสุทธิ 647 ล้านหยวน หรือ 2,929 ล้านบาท / ค่าใช้จ่าย R&D 2.51 พันล้านหยวน หรือ 11,366 ล้านบาท (อัตรากำไรขั้นต้น 20.51%)
- Leapmotor: กำไรสุทธิ – 13 ล้านหยวน หรือ -66 ล้านบาท / ค่าใช้จ่าย R&D 80 ล้านหยวน หรือ 362 ล้านบาท (อัตรากำไรขั้นต้น 14.9%)
- Xpeng: กำไรสุทธิ – 66 ล้านหยวน หรือ – 298 ล้านบาท / ค่าใช้จ่าย R&D 1.98 พันล้านหยวน หรือ 8,966 ล้านบาท (อัตรากำไรขั้นต้น 15.56%)
Advertisement